無論你是否曾去過泰國、是否學過泰語,應該都聽過 สวัสดี(sà-wàt-dee)這個詞。它是泰國人打招呼時最常用的詞語,不只可以當作見面時的「你好」,也可以作為道別時的「再見」。
但在 สวัสดี 這個詞出現以前,泰國人又是怎麼打招呼的呢?今天就來分享這段有趣的歷史故事,帶大家一探究竟สวัสดี 是如何從無到有,成為一句眾所皆知的問候語!
本篇內容翻譯自 Sanook 的文章《在「สวัสดี」這個詞出現以前,泰國人用什麼詞打招呼?》
คำว่า "สวัสดี" ถือเป็นคำทักทายที่เราคุ้นเคยกันดีในชีวิตประจำวัน ใช้ได้ทั้งการพบหน้า การกล่าวลา และแม้แต่การแสดงความปรารถนาดี
「สวัสดี」這個詞,是我們日常生活中非常熟悉的問候語,既可以用在見面和道別的時候,甚至也能用於表達祝福的時候。
แต่รู้หรือไม่ว่า คำนี้เพิ่งจะถูกบัญญัติขึ้นและเผยแพร่ใช้อย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2486 หรือเมื่อ 82 ปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
但你知道嗎?這個詞是在佛曆 2486 年(西元 1943 年),也就是 82 年前,才正式被制定並廣傳使用而已。
แล้วก่อนหน้านั้น คนไทยใช้คำอะไรในการทักทายกันล่ะ?
那麼,在這之前,泰國人用什麼詞來互相打招呼呢?
ทักทายแบบไทยโบราณ: ขึ้นอยู่กับฐานะ เพศ และโอกาส
ก่อนจะมีคำว่า "สวัสดี" คนไทยไม่มีคำทักทายแบบกลางๆ เหมือนอย่างในปัจจุบัน การทักทายขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น
泰國古代的問候:取決於身分、性別和時機。
在「สวัสดี」這個詞出現以前,泰國人並沒有像現在一樣通用的問候語,問候方式取決於當下的情境和雙方間的關係而定,例如:
คำถามเชิงทุกข์สุข เช่น
關心對方生活狀態的問題,例如:
"ไปไหนมา?"
「去哪裡了?」
"กินข้าวหรือยัง?"
「吃飯了嗎?」
"อยู่ดีมีสุขหรือเปล่า?"
「過得好嗎?」
"เป็นอย่างไรบ้าง?"
「過得如何?」
คำถามเหล่านี้เป็นการแสดงความห่วงใยและเปิดบทสนทนา มากกว่าจะเป็นคำทักทายตามธรรมเนียมตะวันตก
這些問題,更多是用來表達關心和開啟話題,而不是像西方那樣慣例的問候。
การใช้คำนำหน้าแสดงความเคารพ เช่น
表達尊敬的敬稱詞,例如:
"คุณ..."
※註:
① 用來代稱談話中的對方,屬於禮貌用語,是第二人稱代名詞。例如 คุณอยากไปไหน(你想去哪?)。
② 放在名字前的敬稱,通常指先生、小姐、女士、太太等,例如 คุณสาม(สาม女士)。
"ท่าน..."
※註:
① 用來代稱談話中的對方或所指對象,屬於中性或表示尊敬的用語,是第二人稱或第三人稱代名詞。例如 ท่านไม่อยู่(他不在)。
② 放在貴族或職位的名稱前,用以表示尊敬。例如 ท่านอาจารย์(老師、教授)。
"อ้าย... น้อง... ลุง... ป้า..."
※註:
① อ้าย 用來稱呼長子。
② น้อง 用來稱呼年紀較小的弟妹或或晚輩。
③ ลุง 用來稱呼父母的哥哥或比父母大的男性。
④ ป้า 用來稱呼父母的姊姊或比父母大的女性。
แล้วตามด้วยบทสนทนา เช่น "อ้ายไปนาแต่เช้าเลยนะ"
然後再接續要說的內容,例如:「อ้ายไปนาแต่เช้าเลยนะ」(大哥一大早就去田裡了哦!)
ในระดับราชสำนักหรือภาษาทางการ ก็อาจใช้คำว่า "นมัสการ", "คำนับ" หรือ "กราบเรียน" ตามธรรมเนียมโบราณ
在皇室等級或正式用語中,也可能會依照古代的習俗,使用「นมัสการ」、「คำนับ」或「กราบเรียน」等詞。
※註:
① นมัสการ 用於寫給僧侶或沙彌的信件的開頭和結尾語。
② คำนับ 一種被記錄下來,帶有尊敬意味的詞。
③ กราบเรียน 用於信件開頭的詞,用來表達最高敬意。類似鈞啟、賜啟。
แล้วคำว่า "สวัสดี" มาจากไหน?
那麼「สวัสดี」這個詞,是源自於哪裡呢?
คำว่า "สวัสดี" ถูกบัญญัติโดย พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) นักภาษาศาสตร์และนักปราชญ์สำคัญในยุคนั้น โดยหยิบคำว่า "สวัสดิ์" (อ่านว่า สะ-หฺวัด) จากภาษาสันสกฤต-บาลี แปลว่า "ความดี ความเป็นสิริมงคล" แล้วเติมคำว่า "ดี" เพื่อให้อ่านง่ายและเข้าใจตรงตัว
「สวัสดี」這個詞,是由當時重要的語言學家兼學者 Nim Kanchanajiva(พระยาอุปกิตศิลปสาร นิ่ม กาญจนาชีวะ)所創造。他取自梵語和巴利語中的「สวัสดิ์」(讀作 สะ-หฺวัด)這個詞,意思是「美好、吉祥」,並加上「ดี」這個字,讓它讀起來更為容易且能更直觀地理解。
ต่อมาในยุครัฐนิยมภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม คำว่า "สวัสดี" จึงถูกส่งเสริมให้ใช้แทนการทักทายแบบเดิม โดยเฉพาะในโรงเรียน หน่วยงานราชการ และสื่อมวลชน เพื่อแสดงถึงความศิวิไลซ์และทันสมัยในแบบตะวันตก โดยมอบหมายให้กรมการโฆษณา (กรมประชาสัมพันธ์) ออกข่าวประกาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2486
後來,在鑾披汶.頌堪陸軍元帥(จอมพล ป. พิบูลสงคราม/Plaek Phibunsongkhram)領導下的國家文化政策與行為準則時期,「สวัสดี」這個詞就被推行使用,取代傳統的問候方式。尤其是在學校、公務單位與媒體中,藉以展現西方式的文明與現代化;並指派宣傳局(現公共關係局)自佛曆2486年1月22日(西元1943年)起,正式發布新聞公告。
นอกจากคำว่า "สวัสดี" แล้ว ในยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังกำหนดให้คนไทยทักทายกันตอนเช้าว่า "อรุณสวัสดิ์" โดยแปลมาจากคำว่า "Good Morning" และให้ทักทายกันในตอนบ่ายว่า "ทิวาสวัสดิ์" มีที่มาจากคำว่า "Good Afternoon" ส่วนตอนเย็นให้ทักทายว่า "สายัณห์สวัสดิ์" มาจากคำว่า "Good Evening" และปิดท้ายวันด้วยคำว่า "ราตรีสวัสดิ์" ที่มาจากคำว่า "Good Night"
除了「สวัสดี」這個詞之外,在鑾披汶.頌堪陸軍元帥(จอมพล ป. พิบูลสงคราม/Plaek Phibunsongkhram)時期,還規定泰國人在早上互相問候「อรุณสวัสดิ์」──源自於「Good Morning」;而在下午互相問候「ทิวาสวัสดิ์」──源自於「Good Afternoon」;至於晚上則問候「สายัณห์สวัสดิ์」──源自於「Good Evening」;並以「ราตรีสวัสดิ์」作為一天的結束──源自於「Good Night」。
บทสรุป
ก่อนปีพ.ศ. 2486 คนไทย ยังไม่มีคำทักทายกลางแบบ "สวัสดี" อย่างในปัจจุบัน การทักทายมักมาในรูปคำถาม เช่น "ไปไหนมา?" หรือแสดงความห่วงใยมากกว่าการใช้คำเฉพาะ จนกระทั่งมีการบัญญัติคำว่า "สวัสดี" ขึ้นและผลักดันให้ใช้เป็นมาตรฐานในยุคสร้างชาติมาจนถึงปัจจุบัน
結論
在佛曆 2486 年(西元1943年)以前,泰國人還沒有像現在的「สวัสดี」一樣通用的問候語。當時的問候通常以問句的形式呈現,例如「去哪裡了?」或其他表達關心的方式,而非使用特定的詞語。直到「สวัสดี」這個詞被制定出來,並在建國時期被推廣使用成為標準用語,一路沿用至今。
本篇取自 Sanook:https://www.sanook.com/news/9784698/